เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะ เห็นไหม ธรรมะให้เป็นอาหารของใจ ทำบุญกุศล เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตนี้ต้องมีปัจจัยต้องมีอาหาร อาหารก็เพื่อดำรงชีวิต แต่ชีวิตที่ได้มาสิ วันนี้เป็นวันพระ เป็นวันผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐในหัวใจของเรา มนุษย์นี่ประเสริฐที่สุด สมบัติที่มีค่าที่สุดในจักรวาลนี้คือชีวิต สิ่งที่มีชีวิตนี้มนุษย์มีคุณค่าที่สุด แต่มนุษย์ไม่รู้จักคุณค่าของตนเองไง มนุษย์ก็ให้มนุษย์บริหารจัดการกันเห็นไหม ดูสิ เราอยู่ในสังคมโลก เราถึงเป็นเหยื่อ ถ้าไม่มีสติปัญญาก็เป็นเหยื่อหมดเลย แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากเหยื่อ พ้นจากการครอบงำของกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาตัวเองรอดได้ มนุษย์จะให้มนุษย์บริหารจัดการไม่ได้ มนุษย์ต้องมาบริหารจัดการตัวของมนุษย์นั้นเอง
ความคิดกับเรา ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นของคู่ทั้งหมด มืดคู่สว่าง สุขคู่กับทุกข์ หญิงคู่กับชาย ในครอบครัวต่างๆ ในโลกนี้ มันเป็นการดำรงเผ่าพันธุ์ แต่ถ้าเรื่องของมนุษย์ล่ะ เรื่องของการเกิดล่ะ เรื่องของการเกิดมันมีอะไรมาดำรงเผ่าพันธุ์ ปฏิสนธิจิตไปเกิดในภพชาติใด ก็ไปเกิดในสถานะนั้น พอมาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีร่างกายและจิตใจ ร่างกายนี้ต้องอาศัยอาหาร ดำรงชีพด้วยอาหาร ถ้าขาดอาหารชีวิตนี้ก็ต้องตายไป เวลาตายไปร่างกายมันตายไปไหม ร่างกายมันเป็นท่อนฟืน หัวใจต่างหาก หัวใจที่อาศัยร่างกายนี้อยู่ต่างหาก ที่มันมีคุณค่า
ถ้าหัวใจที่อาศัยในร่างกายนี้ต่างหากที่มีคุณค่า แล้วคุณค่ามันคืออะไรล่ะ คุณค่าของมันไม่มีใครเคยมองเห็น ไม่มีใครเคยพิสูจน์ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์นะ เวลาไปพิสูจน์ ไปเห็นยมทูต คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม เห็นไหมโลกนี้เป็นของคู่ มืดคู่กับสว่าง สุขคู่กับทุกข์ มันมีการตายมันก็ต้องมีการไม่ตาย มีการเกิดก็ต้องมีการไม่เกิด เวลามันตายขึ้นมานี้ คนเรามันตายเพราะเหตุใด เพราะมีการเกิด แล้วถึงมีการตาย มีการเกิดที่ไหนก็มีการตายที่นั่น แล้วการไม่เกิดมันทำอย่างไร ศักยภาพของมนุษย์นี่ไง ศักยภาพของมนุษย์มันจะมาพิสูจน์กันตรงนี้ มาพิสูจน์ว่า เวลามาเกิดนี้ มาเกิดได้อย่างไร เราจะรู้ตัวต่อเมื่อพ่อแม่บอกว่าเราเกิดเมื่อไหร่ เราจะได้ชื่อได้เสียง เพราะพ่อแม่เป็นคนบอกเราเอง แต่เวลาเราไปเกิดนี้ อวิชชามันครอบงำจิตใจของเราไป เราจะไม่รู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน ด้วยอำนาจของกรรม จะไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่ เกิดเป็นเราแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นเรา ตอนเกิดมาแล้ว พ่อแม่เป็นคนบอกเท่านั้นเอง เห็นไหม ตกฟากที่นั่น เกิดที่นั่น เดี๋ยวนี้เกิดที่โรงพยาบาลกันหมดเลย นี่คือการเกิด เห็นไหม ที่ไหนมีการเกิดก็ต้องมีการตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนไปเห็นยมทูต การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เห็นไหม มันต้องมีฝั่งตรงข้าม แล้วมันมีที่ไหนล่ะ
นี่ไง ศักยภาพของมนุษย์ไง มนุษย์จะมีศักยภาพตรงนี้ไง ตรงที่ว่าตัวเองนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตที่มันมาเกิด มานั่งกันอยู่ตรงนี้มาจากไหน มันไม่มีอำนาจใดจะไปบังคับมันได้ มันมีแรงกรรมเห็นไหม แรงกรรมคือแรงกระทำ พลังงานที่มันเกิดขึ้น การสะสมพลังงาน
ดูสิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มันระเบิดได้เพราะอะไร กว่ามันจะระเบิดเพราะมันต้องสะสมพลังงานมาเป็นล้านๆๆๆ ปี มันถึงจะระเบิดขึ้นมา นี่ก็เหมือนกันในเมื่อมันมีแรงกรรม แรงกรรมคือแรงกระทำ มันมีการกระทำ จิตมันมีพลังงานของมัน พลังงานอันนี้ที่ขับให้เรามาเกิด โดยที่ไม่มีใครจะสามารถไปยับยั้งมันได้ ดูสิ เวลาภูเขาไฟมันจะระเบิดเพราะพลังงานมันมีการสะสมใช่ไหม เวลากำลังของกรรมนี่มันผลักดันไป มันต้องมีพลังงานของมันใช่ไหม นี่ไง ความสำคัญของมนุษย์ไง มนุษย์จะมาแก้ไขที่กรรมนี้ไง เรามาแก้ไขมัน เรามาทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีเพื่ออะไร เพื่อให้สำนึกตนเท่านั้น คนดีคนชั่วนี่ สำนึกของตัวเท่านั่นแหละที่มันจะแก้ไขได้ คนถ้าไม่สำนึกว่าเราดีหรือชั่ว เราจะไม่รู้ว่าเราทำอะไรเลย
ถ้าความสำนึกว่ามีเราเห็นไหม ดีหรือชั่วนี่มันเห็นได้ สุขหรือทุกข์นี้คือเวทนา แล้วอุเบกขาล่ะ จิตที่มันเฉยๆ ล่ะ สิ่งที่มันวางเฉยอยู่ นี่ไง เราเป็นคนดี ทุกคนจะบอกว่า โอ้โฮ เราเป็นเทวดา เราเป็นคนดีที่สุดในโลกเลย ทำไมยังต้องไปทำความดีอะไรอีกล่ะ นี่มันดีอะไรของมัน ก็ดีในวัฏฏะไง ดีในวัฏฏะนี้ดี ดีในผลของการตอบสนองของแรงกรรม แรงสะสมของพลังงานเห็นไหม แรงสะสมของภูเขาไฟ แรงสะสมของลาวาที่มันจะเกิด มันจะขับดันออกมา แล้วเวลาเราทำดีทำชั่วแค่ไหน มันก็มีแรงสะสม แรงกรรม มันจะขับเคลื่อนจิตนี้ไป
ศักยภาพของมนุษย์อยู่ที่ไหน ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาฟังเทศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็มีพลังงานของเขา เขาก็สะสมชีวิตหนึ่งของเขา เวลาเขาไปเกิดในเทวดา อินทร์ พรหมนี้ เขาเกิดแล้วมีแรงขับแล้ว พลังงานสะสมแล้ว สะสมจากภพชาติหนึ่ง
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา พุทธศาสนาสอนให้เสียสละ การเสียสละวัตถุ เสียสละความรู้สึก เสียสละอารมณ์ เสียสละความทุกข์ เสียสละสิ่งที่เศร้าหมองในหัวใจ เสียสละไอ้ความสะสมในหัวใจมันเสียสละได้ไหม ข้าวของนี่มันเสียสละได้ เพราะเป็นวัตถุที่เราจะเจือจานกันได้ แต่อารมณ์ความรู้สึกที่มันคับข้องใจนี้ มันจะเสียสละอย่างไร มันยิ่งเจ็บปวดยิ่งเจ็บช้ำ มันยิ่งสะสม ยิ่งมีแต่ความบาดหมาง เห็นไหม นี่เป็นของคู่ นี่ศักยภาพของมนุษย์ มนุษย์ที่พ้นจากแรงขับดัน จากพลังงานสะสมในหัวใจ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร ประเสริฐเพราะสิ่งนี้ไม่มีอำนาจเหนือใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นมันอยู่ที่ไหนล่ะ
เราบอกว่าการเป็นมนุษย์นี้ ทุกคนมีศักยภาพ มนุษย์มีคุณค่ามากที่สุด แล้วมันอยู่ไหนล่ะ มันอยู่ที่ความเจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหม มันอยู่ที่ความเจ็บปวดนี้หรือ มันอยู่ที่ความทุกข์นี้หรือ ไม่ใช่
สิ่งที่มันเป็นความทุกข์มันเป็นเปลือกไง พลังงานที่มันสะสม ดูสิ ภูเขาไฟที่มันตายแล้ว มันไม่มีลาวา ไม่มีสิ่งใด ไม่มีพลังงานเห็นไหม ภูเขาไฟที่มันมีพลังงาน ที่มันจะสะสมพลังงาน มันขับดันอยู่ ความขับดันอันนั้น ความร้อน เห็นไหม ความร้อน ความคิด ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความเจ็บช้ำน้ำใจ มันเกิดจากพลังงานนะ เกิดจากจิตเรา ถ้าไม่มีจิตเรานี้ ความทุกข์จะมีไหม แล้วเวลาเราลืมความทุกข์ เราลืมความรู้สึกของเราไป เรายังมีชีวิตอยู่ไหม มี ยังมีความรู้สึกอยู่ แต่ความรู้สึกทุกข์สุขมันหายไปไหน นี่ไง สิ่งที่มันมีของมัน ถึงบอกว่านี่มันไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ตัวจิต มันเป็นผลมันเป็นอาการ เป็นความรับรู้ เป็นความรู้สึก ของจิตนั้น แต่เรายังเข้าไปถึงตัวใจของเราไม่ได้ พลังงานที่มันมีมหาศาล พลังงานของเรา ความรู้สึกต่างๆ ที่เราควรจะเอามันมาใช้ประโยชน์
สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด คือความคิดของมนุษย์ สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดคือความคิด คือจิตไง แล้วถ้าสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดแล้วมันนิ่งที่สุด มันจะมีพลังงานมากขนาดไหน เวลาเราทุกข์ยากอยู่นี้ เราฟุ้งซ่าน เราคิดของเราไปอยู่นี้ ความคิดมันก็คิดไปตลอด พลังงานที่มันใช้สะสม แต่ในตัวจิตว่างเปล่า
เวลาเราจะสะสมมัน เรากำหนดพุทโธๆๆๆๆ หรือเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ให้พลังงานให้มันมีกำลังของมันขึ้นมา ถ้าพลังงานมันมีขึ้นมา แล้วพลังงานที่มันปล่อยความคิด ปล่อยสรรพสิ่ง ดูสิ เวลาเราทำงานมันแสนเหนื่อยแสนยาก พอเราเสร็จงาน โอ้ สบาย นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันมีความคิดที่มันลากความรู้สึกอันนี้ไปตลอดเวลา แล้วมันปล่อยวาง ปล่อยวางด้วยความสงบของมัน ดูสิ จิตเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด มันเคลื่อนที่ไปด้วยโปรแกรมของมันเห็นไหม ดูคอมพิวเตอร์เห็นไหม ที่มันไปนี้มันมีโปรแกรมของมัน มันจะเคลื่อนด้วยความเร็วความช้าของมัน
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดพร้อมกับความรู้สึก ความนึกคิดไป แล้วมันสละความรู้สึกความนึกคิดอันนั้น แล้วมันสะสมในตัวของมันเอง นี่มันจะมีพลังงานขนาดไหน นี่สัมมาสมาธิ ถ้าใครเข้าถึงความสงบของใจได้ มันจะมีความสุขมาก
ความสุขในโลกนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ไม่มีความสุขสิ่งใดเลย เท่ากับจิตสงบ ไม่มี ความสุขสงบของใจเรานี้ มันไม่มีสิ่งใดสงบได้ เราไปหาแต่ความสุขจากข้างนอกกัน เราพยายามแสวงหากัน สิ่งที่แสวงหานี้ มันเป็นหน้าที่นะ เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นหน้าที่การงาน เราก็หาปัจจัยเครื่องอาศัยมาดำรงชีพ มันเป็นหน้าที่ มันเป็นงานที่ต้องทำ แต่ตัณหาความทะยานอยาก ความคับข้องใจนี้มันคือกิเลส ฉะนั้น ในเมื่อสิ่งที่แสวงหานี้มันเป็นหน้าที่ เพื่อดำรงชีวิตเรา แล้วมีชีวิตเพื่ออะไรล่ะ มีชีวิตก็เพื่อจะค้นคว้าหาตัวเอง ค้นคว้าหาพลังงานที่มันเกิดนี่ไง ถ้าหาพลังงานที่มันเกิดได้ จิตมันจะปล่อยวางเข้ามา มันจะสงบเข้ามา มันมีพลังงานเข้ามา เอ๊อะ! เอ๊อะ! สมาธิเป็นแบบนี้ มันมีความรู้สึกของมัน มันมีสติของมัน มันมีความปล่อยวางของมัน มันมีความรู้ตัวของมัน นี้คือตัวสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ ว่างๆ ว่างๆ
ถ้าไม่มีพลังงานจะมีความว่างไหม เพราะพลังงานมันไปรู้ว่าว่าง ว่างนี่เกิดจากอะไร เกิดจากเราคิดดีคิดชั่วคิดสุขคิดทุกข์ เราคิดเองว่ามันว่างเห็นไหม มันเป็นอารมณ์สองเพราะมันเป็นสัญญาอารมณ์กับพลังงาน มันถึงไม่ใช่ความสงบไง มันถึงไม่ใช่สมาธิ ตอนนี้สมาธิก็ยังเข้ากันไม่เป็น ดูสิ มนุษย์นี่ เราเป็นเราใช่ไหม เสื้อผ้านี้เราเอามาใส่ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ว่างๆ ว่างๆ มันก็เอาความว่างมาครอบหัวใจไว้ไง ว่างๆ ว่างๆ มันก็เหมือนมนุษย์ใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าไม่ใช่เรานะ เสื้อผ้านี้เราเอามาใส่เพื่อความอบอุ่น เพื่อกันความร้อนความหนาว เสื้อผ้าไม่ใช่เรา แต่เราใส่มันใช่ไหม ความคิดก็ไม่ใช่เรา แล้วความคิดทุกข์มันก็ว่ามันทุกข์ มันคิดว่าว่าง มันก็แค่เสื้อผ้าอาภรณ์ข้างนอกใช่ไหม มันไม่ใช่ตัวจิตใช่ไหม แล้วมันจะเป็นเราได้ไหม มันจะเป็นตัวจิตได้ไหม มันถึงไม่ใช่
แต่ถ้าเป็นตัวเราเห็นไหม เราใส่เสื้อผ้า เราก็รู้ว่าเราใส่เสื้อผ้า เราเปลื้องทิ้ง เราถอดทิ้ง เราก็รู้ว่าเราถอดทิ้ง อารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา แต่ถ้ามันกลับมาถึงตัวเรา มันถึงจะกลับมาถึงตัวจิต ตัวเราต่างหากที่มีคุณค่า เสื้อผ้าไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็แล้วแต่ จะมีคุณค่ามากน้อยขนาดไหน ถ้าเราตายไป อันนี้ก็ไม่ใช่ของเรา มันไม่มีค่าอะไรเลย ความรู้สึกนึกคิดที่มันเกิดจากเรา มันก็ดับไป มันจะมีค่าอะไร แต่ตัวเราสิที่มีค่า หัวใจเราสิมีค่า ถ้าจิตสงบมันจะมีค่าของมัน นี่สิ่งที่เป็นความจริง นี่คุณค่าของมนุษย์ไง ถ้าจิตมนุษย์ เราทำความสงบของใจเราได้ เรามีความสุข มีความสงบ มีความสงัด มีความสุขของเรา เราจะมีคุณค่า เพราะความรู้สึกอันนี้ที่มันมาเกิด ปฏิสนธิจิต
เราเกิดในไข่นะ การเกิดกำเนิด ๔ ของจิต เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดโดยโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ กำเนิด ๔ จิตนี้ไปกำเนิด แล้วพอเราสงบนี้ มันถึงตัวปฏิสนธิจิต สัมมาสมาธิคือฐีติจิต สัมมาสมาธิคือจิตเดิมแท้ สัมมาสมาธิคือตัวพลังงาน สัมมาสมาธิคือตัวจิตของเรา แต่มันไม่มีใครเห็น ไปฟังธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิคือความว่าง มันก็คิดว่าว่าง คิดให้ว่างมันไม่ว่างหรอก มันคิดให้ว่าง คิดให้ว่าง แต่ตัวมันไม่ว่าง มันทำกันไม่เป็น เห็นไหม
คุณค่าของมนุษย์ คุณค่าของความรู้สึก คุณค่าของจิต ถ้าเราทำของเรา ถ้าเราพิสูจน์ของเราโดยที่ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง มันก็เป็นแค่ความเพ้อฝัน ไง ถ้าเป็นทางโลกก็เป็นปริยัติไง เป็นทฤษฎี เป็นความจำ แต่ถ้าเป็นความจริงมันจะเกิดกับเรานะ
นี่คุณค่าของมนุษย์ไง มนุษย์นี้มีคุณค่ามาก ชีวิตของเราที่มีคุณค่ามาก แต่เราทำของเราไม่ได้ เราทำแต่หน้าที่การงานในโลก ในโลกคือปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องทำหน้าที่การงานของเรา เพื่อตระกูลของเรา เพื่อชาติของเรา เพื่อศาสนาของเรา เพื่อเราต่างๆ เพื่อเราก็คือเพื่อการเกิดและการตาย แต่ถ้าเพื่อจิต เห็นไหม ถ้าเราทำงานของเราเสร็จแล้ว เราก็หาเวล่ำเวลาของเรา ไปทำความสงบของใจ แล้วทำได้ยากมาก กางร่มออกไปนี่ หุบร่ม กางร่มกว่าจะกางได้พรึบออกไปเลย แต่หุบร่มไม่เป็น หุบไม่ได้ ความคิดเวลาออกจากใจไป ออกจากจิตไปนี้ สบายมาก เหมือนกางร่มพรึบๆ ไปตลอดเลย แต่หุบร่มไม่ได้ หุบเข้ามาไม่เป็น พุทธโธๆ นี่จะหุบร่มเข้ามา หุบเข้ามาเพื่อตัวมันเอง หุบไม่ได้ แต่กางร่มนี่เก่งมากนะ แค่กดปุ่มมันไปเลย แต่เวลาดึงกลับมาดึงไม่กลับ พุทธโธๆ มันจะต่อต้านมาก
เราถึงบอกว่าการทำความสงบของใจนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก นึกว่าเป็นของง่ายๆนึกว่าเป็นของๆ เรา เงินของเราควักออกจากกระเป๋า ควักออกมามันก็เป็นเงินของเราใช่ไหม หัวใจควักออกมาสิ หาไม่เจอ ตะครุบยังไง ก็ตะครุบไม่เจอ พุทโธๆ พอเจอ พุทโธๆ เข้าไปนี่ มันจะต่อต้านกิเลสตัณหาทะยานอยากของเรามี เพราะเรามีแรงขับ มีการสะสมของพลังงานเห็นไหม อย่างภูเขาไฟนี้ การสะสมอย่างนั้นมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก เพราะความเข้าใจผิดของมัน
เพราะฉะนั้นพอเรามาคิดถึงธรรมะ มันก็มาคิดจินตาการของมัน ฉะนั้นการทำความสงบของใจนี้มันจะต่อต้าน มันจะขัดแย้ง เพราะฉะนั้นพุทโธๆ นี่ทำแสนยาก แต่ทำได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ทำได้ ทุกอย่างทำได้หมด มนุษย์ทำทุกอย่างได้หมดเลย แต่มนุษย์ขี้เกียจ มนุษย์โดนพลังงานหลอกลวง โดนความสะสมของอวิชชานี้มันหลอกลวง แม้แต่การแสวงหาความจริง ก็ไปตะครุบเงา ไม่ได้ความจริงมาเพื่อตัวเอง นี่ไงเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ พุทโธๆๆ ให้ดี ตั้งสติให้ดี สัจจะ มันเป็นของมันโดยสัจจะ เป็นข้อเท็จจริง ถ้าเหตุผลมันเพียงพอ มันจะต้องเข้าไปสู่สัจจะนั้น ถ้าพุทโธได้ถึงเหตุถึงผล จิตก็ต้องสงบได้โดยธรรมชาติของมัน แต่ที่มันไม่เป็น เพราะมันเป็นตัณหาทะยานอยาก เป็นการคาดหมายเป็นการรู้ว่าสิ่งนี้เป็นผลดี ก็อยากได้ จนเป็นตัณหาอีกตัวหนึ่งซ้อนมา โดยตัวเองไม่รู้ตัวเอง การกระทำมันเลยไม่เป็นความจริง
เห็นไหม นี่คุณค่าของมนุษย์ ความสำคัญของมนุษย์ มนุษย์นี้มีคุณค่ามาก ชีวิตมีคุณค่ามาก แล้วโอกาสของเรานี้ ตั้งแต่เกิดมา คนที่ไม่ศึกษาไม่สนใจ มีศาสนาไว้เพียงในทะเบียนบ้าน ก็เรื่องของเขา ถ้ามีศาสนาแล้วทุกคนค้นคว้าพยายามกระทำขึ้นมา ศาสนามันจะเป็นศาสนาประจำใจ ไม่ใช่แค่ศาสนาประจำชาติ ไม่ใช่ศาสนาประจำของใคร ศาสนาประจำของหัวใจ ใจได้สัมผัส ใจได้รับรู้ อันนี้จะเข้าใจว่า โอ้โฮ! คุณค่าของเรามันมีอย่างนี้
เราเวียนตายเวียนเกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลาย บัดนี้มีสติมีสัมปชัญญะ มีการรับรู้ มีการแก้ไข มีการกระทำ มันเป็นยอดคนนะ ยอดของมนุษย์ ยอดมนุษย์เลย ถ้ามนุษย์สามารถค้นคว้าตัวเองได้ มนุษย์สามารถค้นคว้าและจัดการตัวเองได้ จะเป็นยอดมนุษย์ ยอดมนุษย์อะไร เพราะมันรู้เท่าจักรวาลนี้ทั้งหมด รู้เท่าการเกิดและการตาย รู้ทุกสิ่ง ทั้งๆ ที่อยู่ในหัวใจคนเรา รู้ทุกสิ่งที่จิตมันอยากรู้ แต่ถ้าตอนที่อวิชชามันปกครองอยู่ ไม่รู้อะไรเลย แต่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ว่างๆ ว่างๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย เห็นไหม
ฉะนั้นถึงมีคุณค่า เราทำใจของเรา มันจะทุกข์จะยากนะ หน้าที่การงานก็แบกรับจนหนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว ยังจะต้องมาภาวนาอีกหรือ ยังต้องหางานมาเพื่อตัวเองอีกหรือ ของดีใครก็ต้องการ ความสุขทุกคนก็ปรารถนา สิ่งที่จะมีคุณค่า ก็คือจิตใจเราได้สัมผัส สิ่งที่มีคุณค่าคือสิ่งที่เรากระทำ มันเป็นประโยชน์กับเรานะ ใครทำ คนนั้นได้ อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ที่เป็นคุณงามความดี จะได้ประโยชน์แก่ชีวิตนั้น ใครพยายามแสวงหาความทุกข์ร้อนมาใส่ตัวเอง คนนั้นก็จะได้รับความทุกข์เศร้าโศกเสียใจไป นี้เป็นผลจากการกระทำของเรา
ให้มีสติมีสัมปชัญญะ ทำสิ่งใดตั้งสติแล้วทำสิ่งนั้น ตั้งสติก่อน คิดใคร่ครวญก่อน ถูกหรือผิด แล้วทำตามที่จิตเราพิจารณาแล้วถึงทำ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง